วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การทำตุ๊กตา

วันนี้เรามาดูไอเดียการทำตุ๊กตารูปคนแบบง่าย ๆ ที่เพื่อน ๆ สามารถทำให้ลูก ๆ ได้เล่นเองแบบง่าย ๆ เลยล่ะค่ะ โดยเพื่อน ๆ สามารถดูวิธีการทำตุ๊กตารูปคนตามแบบที่เรานำเสนอในวันนี้ได้ แล้วเพื่อน ๆ ยังสามารถทำเสื้อผ้าตกแต่งตุ๊กตาได้เองอีกด้วย เด็ก ๆ จะได้สนุกกับการเล่นแต่งตัวตุ๊กตาได้ด้วยอีกตางหาก ลองมาดูวิธีการทำตุ๊กตากันเลย

ขั้นตอนการทำตุ๊กตารูปคนเองน่ารัก ๆ

ตุ๊กตารูปคนทำเอง
ขั้นแรกให้เพื่อน ๆ เขียนแบบร่างส่วนหัว ส่วนลำตัว ส่วนแขน ส่วนขาตามแบบในรูปลงไปในผ้าสีเนื้อค่ะ
ในการตัดให้ตัดผ้าสองชิ้นพร้อมกัน เพื่อเราจะได้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นออกมาเท่า ๆ กันค่ะ
ตุ๊กตารูปคนทำเอง
จากนั้นให้ตัดผมออกมา แล้วเย็บติดกันให้แน่นโดยเว้นช่องเอาไว้ด้วยนะคะ
ถัดมาให้กลับด้านผ้า เพื่อน ๆ ก็จะได้ชิ้นส่วนต่างของร่างกาย ๆ แล้วล่ะค่ะ
ตุ๊กตารูปคนทำเอง
จากนั้นก็ให้ยัดใยสังเคราะห์เข้าไปให้แน่น
ตุ๊กตารูปคนทำเอง
ถัดมาให้เพื่อน ๆ นำส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมาเย็บติดเข้าด้วยกัน
ตุ๊กตารูปคนทำเอง
ถัดมาให้ตกแต่งส่วนหน้าตาให้น่ารักสวยงาม โดยเน้นความกลมโตของดวงตา ก็จะได้หน้าตาของตุ๊กตาที่บ้องแบ๊วน่ารัก ๆ แล้วล่ะค่ะ
ตุ๊กตารูปคนทำเอง
จากนั้นก็นำเสื้อผ้าน่ารัก ๆ มาสวมใส่ให้ตุ๊กตา
เสร็จเรียบร้อยแล้วสำหรบตุ๊กตารูปคนสุดน่ารักให้ลูก ๆ ได้เล่นกัน โดยเพื่อน ๆ สามารถทำเป็นของขวัญให้กับคนที่เรารักได้เช่นกันนะคะ

พืชสมุนไพร

     พืชสมุนไพร เป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมานับพันปี แต่เมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทในบ้านเรา สรรพคุณและคุณค่าของสมุนไพรอันเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าภูมิปัญญาโบราณก็เริ่มถูกบดบังไปเรื่อยๆ  และถูกทอดทิ้งไปในที่สุด
          ความจริงคนส่วนใหญ่ก็พอรู้ๆ กันว่า สมุนไพรไทยเป็นสิ่งที่มีคุณค่าใช้ประโยชน์ได้จริง และใช้ได้อย่างกว้างขวาง แต่เป็นเพราะว่าเราใช้วิธีรักษาโรคแผนใหม่มานานมากจนวิชาแพทย์แผนโบราณที่มีสมุนไพรเป็นยาหลักถูกลืมจนต่อไม่ติด

         ภาครัฐเริ่มกลับมาเห็นคุณค่าของสมุนไพรไทยอีกครั้งด้วยการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2535 ว่า  " ให้มีการผสมผสานการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรเข้ากับระบบบริการสาธารณสุขของชุมชนอย่างเหมาะสม"
          บทความข้าต้นเป็นส่วนหนึ่งในคำนำของหนังสือ "สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด" ซึ่งเภสัชกรหญิงสุนทรี สิงหบุตรา เภสัชกรด้านเภสัชสาธารณสุข  หัวหน้าฝ่ายวิชาการ กองเภสัชกรรม สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้รวบรวมและเรียบเรียง ได้บันทึกไว้ ซึ่งต่อมาทางสำนักอนามัยฯ ได้นำหนังสือดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อใช้ประโยชน์ในงานของโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ  การนี้ ทางโครงการฯ เห็นว่าเนื้อหาในหนังสือมีคุณค่าและให้ประโยชน์กับผู้ที่ร่วมงานกับโครงการฯ รวมถึงบุคคลทั่วไป จึงได้นำขึ้นเผยแพร่ในเวบไซต์โครงการฯ
          จึงหวังว่าผู้ที่เข้ามาหาข้อมูลและได้อ่านเรื่องต่างๆ ในเวบไซต์นี้คงได้รับความรู้และอาจนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองหรือบุคคล รอบข้างได้ไม่มากก็น้อย..
 

การทำลักยิ้ม

การทำลักยิ้ม

ทำลักยิ้ม

“ลักยิ้ม” พิมพ์ใจ หรือรอยยิ้มที่สร้างเสน่ห์ โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีประสบการณ์ด้านศัลยกรรมกว่า 30 ปี
ทำลักยิ้ม
ณรวี คลินิก เป็นสถานเสริมความงามที่เปิดให้บริการด้านศัลยกรรมและผิวพรรณ โดยมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เน้นคุณภาพและการบริการ ที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี พร้อมเครื่องมือทันสมัยได้มาตราฐานสากล สะอาด ปลอดภัย
แต่ “ลักยิ้ม” ถือเป็นลักษณะที่สืบทอดทางพันธุกรรม ดังนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนทุกคน การทำศัลยกรรมลักยิ้ม จึงเป็นทางเลือกที่ดี ในการสร้างสรรค์รอยยิ้มอันแสนหวานให้ท่านได้ แต่ต้องเป็นแพทย์ที่มีความรู้และความชำนาญโดยเฉพาะ เพื่อผู้ที่ทำจะได้ลักยิ้มที่ออกมาสวยและดูดี
“ลักยิ้ม” คือ เสน่ห์เล็กๆ บนใบหน้า ที่สร้างจุดสนใจได้ไม่น้อย เราจะสังเกตเห็นลักยิ้มได้ตรงแก้ม หรือมุมปาก โดยจะเป็นรอยบุ๋มเวลายิ้มหรืออมยิ้ม คนทั่วไปมักจะรู้สึกว่าคนที่มีลักยิ้มเป็นคนอารมณ์ดี ไม่บึ้งตึง เป็นคนที่น่าคบหา ยามเมื่อมีรอยยิ้มบนใบหน้าดูเหมือนโลกช่างสดใส หลายๆ คนจึงชอบ เพราะดูแล้วน่ารักดี

ขั้นตอนการทำลักยิ้มนั้น ไม่มีอะไรยุ่งยาก แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเพื่อที่คุณจะได้วางใจใน ผลการรักษา
โดยทั่วไปลักยิ้มมีด้วยกัน 2 แบบ
1. แบบจุด ลักษณะจะเป็นรอยบุ๋มลงไปเล็กๆ
2. แบบขีด มักจะเป็นแนวยาวในแนวดิ่ง อาจจะยาวประมาณครึ่งเซนติเมตร

ขั้นตอนการทำลักยิ้ม
การทำลักยิ้มมีขั้นตอนที่ง่าย ใช้เวลาไม่นาน โดยประมาณ 30 นาทีเท่านั้น โดยที่ไม่ต้องนอนพักฟื้น โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำมาร์คจุดที่ทำลงบนแก้มของคนไข้ จากนั้นจึงฉีดยาชา และทำการเย็บชั้นใต้ผิวหนังเป็นรอยเล็กๆ เพื่อเชื่อมระหว่างผิวหนังและกล้ามเนื้อแก้ม ขั้นตอนสุดท้ายคือการเย็บปิดแผลด้วยไหม โดยการทำปมเล็กๆ เพื่อทำให้เกิดลักยิ้ม และดูเป็นธรรมชาติ ช่วงระยะ 1 เดือนแรก จะเห็นลักยิ้มตลอดเวลาในขณะที่ยิ้มหรือไม่ยิ้ม หลัง 1 เดือนไปจะเห็นเมื่อยิ้มเท่านั้น

การเตรียมตัว
• คนไข้จึงสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติก่อนผ่าตัด
• ดูแลทำความสะอาดใบหน้า รวมถึงงดการแต่งหน้าเพื่อความสะอาด
• แปรงฟันทำความสะอาดช่องปาก หรือบ้วนน้ำยาร่วมด้วย
• งดวิตามินบำรุงผิว เช่น อีฟนิ่งพริมโรส วิตามินอี
• งดอาหารที่มีส่วนผสมของกระเทียม หัวหอม ถั่วเหลือง เพราะทำให้เลือดออกผิดปกติ
• งดยากลุ่มที่ทำให้เลือดหยุดยาก เช่น ยาต้านการอักเสบ (NSAID), แอสไพริน
• หากมีโรคประจำตัวหรือแพ้ยาตัวใดต้องแจ้งแพทย์
• งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์

การดูแลรักษา
• มีอาการช้ำบวม 2-3 วัน หลังทำการผ่าตัด
• สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
• ไม่ต้องนอนพักฟื้น
• รอยช้ำและรอยบวมจะค่อยๆ หายไปเองตามธรรมชาติ ประมาณ 1-2 สัปดาห์
• หลังผ่าตัดควรบ้วนปากและรักษาความสะอาดช่องปาก
• รับประทานยาฆ่าเชื้อควบคู่ไปด้วย เพื่อลดการอักเสบ
ไม่ว่าคุณจะเลือกทำลักยิ้มในแบบไหน ก็สามารถสร้างเสน่ห์ในตัวเพิ่มขึ้นได้ เพียงแค่มีรอยยิ้มอันแสนหวาน ไม่ว่าใครที่พบเห็นก็รู้สึกประทับใจทั้งนั้นแหละค่ะ จริงมั้ยคะ…

วิธีการเขียนคิ้ว

วิธีการเขียนคิ้ว

วิธีการเขียนคิ้ว การเขียนคิ้วเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ สามารถทำให้รูปหน้าของเราเปลี่ยนได้ ถ้าคิ้วเราสวยก็จะทำให้เราเกิดความมั่นใจ ในการเขียนคิ้วก็ไม่ได้มีอุปกรณ์อะไรมากมากและไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อุปกรณ์ ที่หรูหรามีราคาแพงก็ทำให้คิ้วของเรานั้นสวยได้ และสำหรับคนที่ไม่เคยทำเลยก็ไม่ต้องฝึกฝนมากนักแต่ก็จัดว่ายากเหมือนกันนะ ค่ะ และในตอนนี้การเขียนคิ้วคมๆ กำลังเป็นที่นิยมกันเลยนะค่ะ และในปัจจุบันมีแบรนด์เครื่องสำอางหลายยี่ห้อที่ช่วยในการเขียนคิ้วของสาวๆ แบบง่ายๆ และเรามีวิธีการเขียนคิ้วหลายๆ วิธีมาฝากสาวๆ กันค่ะ
สารบัญ
  1.  วิธีการเขียนคิ้วเองง่ายๆ  
  2. การใช้บล็อกสำหรับการเขียนคิ้ว
  3. การเขียนคิ้วเข้มแบบเกาหลี
  4. วิธีการเขียนคิ้วแบบธรรมชาติ
  5. วิธีการเขียนคิ้วสำหรับคนคิ้วบาง
  6. โครงหน้าแบบคุณต้องเขียนคิ้วอย่างไรถึงจะสมดุลกับใบหน้า
  7. วิธีการเพิ่มคิ้วสำหรับคนที่ไม่ชอบการเขียนคิ้ว
  8.  วิธีการเขียนคิ้วสวยๆ
วิธีการเขียนคิ้วเองง่ายๆ  
วิธีที่1 ให้ใช้แปรงหัวแบนปลายตัดแตะ ที่ใช้สำหรับเขียนคิ้วชนิดฝุ่น จากนั้นให้ลากเส้นเป็นแนวที่บริเวณเหนือคิ้วและใต้คิ้ว เส้นทั้งสองนี้จะเป็นกรอบว่าคิ้วของคุณจะมีรูปทรงอย่างไร และมีความหนาเท่าใด (อยากเห็นคิ้วตัวเองเป็นแบบไหนกำหนดตามขั้นตอนนี้ได้เลยค่ะ) 
วิธีที่ 2   ให้ใช้แปรงสำหรับเขียนคิ้วแตะที่เขียนคิ้วชนิดฝุ่น แล้วเริ่มลงสีที่ส่วนที่โค้งที่สุดของคิ้วเป็นอันดับแรก เพื่อที่จะให้จุดโค้งของคิ้วมีน้ำหนักดี และทำให้คิ้วดูเข้ม โดยให้ระบายให้อยู่ภายในกรอบที่เราได้วาดเอาไว้ในขั้นตอนแรก 
วิธีที่ 3 จากนั้นใหเไล้แปรงโดยลาก จากจุดโค้งของคิ้วมาหาหางคิ้ว และจำไว้ว่า 2/3 จากปลายคิ้วจะเป็นส่วนที่มีสีเข้มที่สุด จากนั้นให้ยกแปรงมาเริ่มเขียนที่หัวคิ้วต่อ และลงน้ำหนักมือให้เบากว่าเดิม เพราะหัวคิ้วควรเป็นส่วนที่อ่อนกว่าหางคิ้ว เมื่อสีจากแปรงเริ่มจางลง ให้ยกแปรงไปเบลนด์ที่ส่วนหางคิ้วอีกครั้ง เพื่อให้ได้หางคิ้วที่เรียวลง และดูอ่อนนุ่มเป็นธรรมชาติ  
วิธีที่4   และขั้นตอนสุดท้ายโดยการใช้ไฮไลท์ปาดที่ใต้จุดโค้งของคิ้ว จากนั้นตามด้วยที่โหนกแก้มบริเวณใต้ตา และที่บริเวณสันจมูก เพราะจะทำให้พื้นที่รอบ ๆ ดวงตาดูสว่างขึ้น และดวงตาก็จะดูสดใสขึ้นด้วยค่ะ

การเขียนคิ้ว
การเขียนคิ้ว
การใช้บล็อกสำหรับการเขียนคิ้ว
 การเขียนคิ้ว
การเขียนคิ้ว

          ปัจจุบันนี้เทร์นคิ้วหนาๆ กำลังฮิตมากเลยนะค่ะ เพราะคิ้ว เข้มๆ หนาๆ ดูแล้วเป็นสาวสปอร์ต สดใส และดูกระฉับกระเฉง และความจริงการเขียนคิ้วให้เหมือนกันเป๊ะๆ ได้ทุกวัน ก็เพราะมีตัวช่วยคือ บล็อกสำหรับเขียนคิ้ว นั่นเอง และเรามาดูกันเลยค่ะว่ามีวิธีอย่างไรบ้างในการเขียนคิ้วหนาๆ โดยการใช้บล็อกง่ายๆ และสวยเป๊ะได้อย่างไร
  1. ให้คุณใช้แปรงมาสคาร่าอันเก่าที่ไม่ใช้ แปรงคิ้วให้ขนคิ้วนั้นเรียงตั้งขึ้น
  2. จากนั้นให้ทาบบล็อกเขียนคิ้วลงไป  โดยดูด้วยว่าระยะตำแหน่งหัวคิ้วของบล็อกพอดีกับหัวตาหรือไม่ และดูแนวโค้งของหัวคิ้วเป็นหลัก
  3. ใช้แปรงเขียนคิ้วหัวตัดแตะที่เขียนคิ้วแบบฝุ่นมาปัดเติมลงในบล็อก ถมให้เต็มด้วยน้ำหนักมือแบบเบา ๆ 
  4. ยกบล็อกเขียนคิ้วออก ก็จะเห็นรูปคิ้วเข้ม ๆ หนา ๆ ได้อย่างชัดเจน จากนั้นใช้แหนบถอนขนคิ้ว    เล็ก ๆ ที่อยู่นอกแนวคิ้วที่เขียนไว้แล้วออก ก็จะได้คิ้วหนาสุดฮิตและสวยเป๊ะค่ะ
      สำหรับใครที่มีบล็อกเขียนคิ้วแต่ยังไม่เคยใช้ ก็ลองฝึกใช้ดูนะค่ะง่ายๆ แค่นี้ก็ทำให้คุณได้คิ้วที่สวยเป๊ะได้นะค่ะ  อีกทั้งยังทำให้คุณเปลี่ยนบุคลิกภาพไปเลยละค่ะ

การเขียนคิ้วเข้มแบบเกาหลี

  สาวๆ จำไว้เลยนะค่ะว่าถ้าคิ้วยิ่งเรียวเล็กและโก่งเท่าไหร่จะทำให้มีอายุ แต่ถ้าคิ้วหนาเป็นธรรมชาติจะทำให้เราดูไร้เรียงสาและเด็กค่ะ และเรามีวิธีการเขียนคิ้วแบบเกาหลีมาฝากสาวๆ กันค่ะ

 การเขียนคิ้ว
การเขียนคิ้ว
 

  1. ตัดขนคิ้วที่ยาวเกินไป วิธีทำก็คือให้หวีขนคิ้วแล้ว ตัดออกด้วยกรรไกร หัวคิ้วให้หวีขึ้นตามแนวขนคิ้ว และที่เหลือนั้นให้หวีลงตามรูป การตัดให้ตัดขนที่ยื่นออกมาจากแนวคิ้ว แต่ห้ามตัดเข้าไปลึกมาก เพราะคิ้วจะแหว่งเป็นหย่อมๆ ให้ค่อยๆ เล็มออกทีละนิดๆ จนกว่าจะได้ทรงดีกว่า
  2. ใช้มีดกันคิ้ว เริ่มกันบริเวณรอบคิ้วออกจนหมดทั้งขน คิ้วที่งอกหรอมแหรมด้านล่างและบนคิ้ว ขั้นตอนนี้คิ้วจะเป็นระเบียบและดูเด่น เราอาจจะต้องกันช่วงหัวคิ้วด้านบนและล่างออกด้วยเพื่อให้คิ้วสมดุล แต่ถ้ากลัวบาดเพราะเป็นมือใหม่ห้ามใช้มีดโกนเป็นอันขาด ให้ใช้มีดกันคิ้วที่เป็นซี่ๆแบบฟันปลาแทน และหาซื้อได้ตามร้านค้าใกล้บ้านคุณ (เวลากันคิ้วควรเปลี่ยนใบมีด เพราะจะทำให้กันขนคิ้วออกไม่หมด)
  3. ใช้ดินสอเขียนคิ้ว เขียนไปตามแนวขนคิ้วถมส่วนที่เป็น ช่องว่างให้หมด และการเลือกดินสอเขียนคิ้ว ให้เลือกอ่อนกว่าสีผม จากนั้นให้ค่อยๆ เติมทีละนิดทีละหน่อยจนกว่าจะได้ความเข้มตามที่คุณต้องการ และอย่าให้เข้มมากเหมือนเขียนอายไลน์เนอร์ แล้วใช้แปรงปัดคิ้วเบลนด์สีให้สม่ำเสมอ ตรงหัวคิ้วอย่าให้เห็นสีชัดมากจนเกินไป ถ้าชัดมากให้ปัดออกให้ดูเบลอๆหน่อย แล้วจะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่ามีสีปื้นๆ
  4. ขั้นตอนสุดท้ายปัดมาสคาร่าคิ้ว และสิ่งที่สำคัญสำหรับ คนที่ขนคิ้วชี้เด่โด่ไม่เป็นทิศเป็นทาง หรือคนที่ไปทำสีผมมาก็จะทำให้ขนคิ้วไม่เป็นสีดำ ขอแนะนำว่าไม่ให้ใช้มาสคาร่าขนตาปัดเท่าไหร่ เพราะถ้าปัดมาสคาร่าแล้วจะออกมาค่อนข้างเข้มและน่ากลัว และวิธีปัดก็เลือกสีที่เข้ากับสีผม แล้วให้ปัดไปตามแนวขนคิ้วธรรมชาติ แค่นี้ก็ได้คิ้วที่สวยเข้มแบบเกาหลีแล้วค่ะ
ข้อแนะนำ 
- ไม่ควรเอาน้ำยาย้อมผมมาย้อมที่คิ้วเพราะอาจจะเข้าตาและเป็นอันตรายถึงกับตาบอดได้
- มีการวิจัยว่าการกันคิ้วทำให้ผู้หญิงดูดีขึ้นได้ถึง 30 %
วิธีการเขียนคิ้วแบบธรรมชาติ

     ถึงแม้ว่าคิ้วของเราจะเป็นเพียงแค่องค์ประกอบ เล็กๆบนใบหน้าของเรา แต่คิ้วก็ทำให้กรอบหน้าของเรานั้นดูคมขึ้นได้ และคิ้วก็ควรมีรูปที่สวยงาม ไม่หนา ไม่รก จนเกินไปหรือว่าจืดจางจนเกินไป และวันนี้เรามีวขั้นตอนการแต่งคิ้วแบบธรรมชาติ สวยๆ มาฝากกันค่ะ
  1. ให้ใช้แปรงปัดคิ้วให้เป็นระเบียบ และให้หวีในทิศทางชี้ขึ้นเพื่อให้สัมพันกับแนวการงอกของคิ้ว จะทำให้เรามองเห็นโครงร่างของคิ้วได้ชัดมากยิ่งขึ้น
  2. ใช้กรรไกรเล็มปลายคิ้วที่ยาวเกินออกไป ซึ่งก็คือปลายขนคิ้วที่ยาวออกมา เพราะถ้ายาวจนเกินไปจะทำให้คิ้วของคุณดูรก ก็จะทำให้หน้าของคุณนั้นเข้มจนเกินไป แต่ต้องเล็มอย่างระมัดระวังนะค่ะเพราะจะทำให้คิ้วของคุณแหว่งได้
  3. ใช้ดินสอสีขาวเขียนโครงร่างของคิ้วที่ต้องการซึ่งในการเขียนคิ้วจะต้อง เขียนหัวคิ้วให้เสมอกับหัวตา ซึ่งทรงคิ้วจะทำให้คุณดูดีขึ้นได้ ขอบนอกของม่านตาหรือลูกตาดำอยู่ตรงกับมุมโก่งของคิ้ว และหางคิ้วอยู่กับแนวมุมทแยงจากจมูกไปหางตา
  4. ใช้แหนบถอนขนคิ้วที่อยู่นอกโครงคิ้วรได้วาดเอาไว้ ก็จะได้คิ้วที่เป็นทรงสวยงาม และอย่าถอนจนเพลินละ เพราะอาจจะทำให้คุณถอนเยอะจนเกินไปจนทำให้คิ้วแหว่งได้นะค่ะ
  5. แต่ถ้าหากว่าคุณเผลอถอนคิ้วเพลินจนทำให้คิ้วแหว่งก็อย่าเพิ่งตกใจนะค่ะ ให้เราใช้ดินสอเขียนคิ้วหรือที่เขียนคิ้วชนิดฝุ่น พรางไปก่อนระหว่างที่รอให้คิ้วขึ้น
  6. ขั้นตอนสุดท้ายให้คุณใช้เจลปัดขนคิ้วบางๆ จะทำให้คิ้วของคุณเรียงสวยและอยู่ทรงแบบนั้นได้ทั้งวัน สำหรับสาวที่มีสีคิ้วเข้มแนะนำให้ใช้เจลปัดคิ้วที่มีสีอ่อน เพื่อทำให้ใบหน้าของคุณดูนุ่มนวลขึ้น 
 วิธีการเขียนคิ้วสำหรับคนคิ้วบาง 
  1. ขั้นตอนแรกให้ใช้พู่กันสำหรับเขียนคิ้วและอายแชโดว์สีน้ำตาลเทาอมเขียว หรือสีโทนน้ำตาลเทา และห้ามเลือกสีน้ำตาลอมแดงแดงนะค่ะเพราะทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งในปัจจุบันนั้นมีผลิตภัณฑ์ให้เราเลือกใช้หลายแบรนด์มาก สำหรับคนคิ้วบางควรเลือกดูให้ดีๆ นะค่ะ วิธีการทำก็คือปัดคิ้วตามรูปด้วยพู่กันหัวตัดเฉียงที่ใช้สำหรับการเขียนคิ้ว โดยเฉพาะ และไม่ควรลากเส้นยาวเกินคิ้วจนเกินไป
  2. วิธีที่สองก็คือให้ใช้มาสคาร่าสีดำ ซับทิชชู่ อีกรอบหนึ่งให้สีของมาสคาร่าเหลือติดอยู่เพียงเล็กน้อย แล้วนำมาปัดคิ้วตามเส้นคิ้วให้ดูชัดขึ้น วิธีนี้ใช้ควบคู่กับวีธีแรก
การเขียนคิ้ว
การเขียนคิ้ว
 มาดูกันนะค่ะว่าลักษณะโครงหน้าแบบคุณต้องเขียนคิ้วอย่างไรถึงจะสมดุลกับใบหน้าของคุณค่ะ
1. หน้ารูปไข่ เป็นรูปหน้าที่สมดุลที่สุดค่ะสำหรับคนที่รูปหน้าอื่นๆจะต้องพยายามแก้ไขรูป หน้า เพื่อให้ใกล้เคียงกับรูปไข่ที่สุด ลักษณะคิ้วที่เหมาะสมไม่ต้องโก่งมาก อาจจะทำโค้งหรือหักมุมเล็กน้อยก็ได้ค่ะ
2. หน้ากลม ขนาดความกว้างและยาวของใบหน้าเกือบจะเท่าๆกันหน้ารูปกลมนี้ต้องทำคิ้วให้โก่งสูงหน่อยนะคะ เพื่อหลอกตาให้หน้าดูยาวขึ้นค่ะ
3. หน้าเหลี่ยม จะมีกรามและเห็นเป็นเหลี่ยมค่อนข้างชัดเจน วิธีแก้ไขคือ เพิ่มแนว เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่คิ้วทั้ง 2 ข้าง จะได้อีก 2 เหลี่ยมบนเพื่อความสมดุลกะ 2 เหลี่ยมล่าง
4. หน้ารูปหัวใจ คางจะเล็กและแหลมให้กันคิ้วแบบโค้งเพื่อลดความแหลมของคางนะค่ะ
5. หน้ายาว ต้องกันคิ้วเป็นเส้นตรง เพราะจะช่วยทำให้หน้าดูสั้นขึ้นค่ะ
6. หน้ารูปเพชร สาวหน้ารูปเพชรนี้เหมาะแก่การทำคิ้วโก่งเป็นอย่างยิ่ง เพราะหน้าผากจะกว้างเป็นทุนเดิมอยู่แล้วค่ะ
วิธีการเพิ่มคิ้วสำหรับคนที่ไม่ชอบการเขียนคิ้ว 
เรามีวิธีการเพิ่มคิ้วง่ายๆ สำหรับสาวๆ ที่ไม่ชอบเขียนคิ้วที่จะสามารถทำให้คิ้วดูเข้มขึ้นและสาวๆ หลายๆ คนคงอยากจะมีคิ้วที่ดกดำเหมือนคนอื่นบ้าง ถึงแม้ว่าการเขียนคิ้วจะช่วยให้คิ้วดูเข้มขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจสำหรับสาวๆ หลาย ๆ คนเพราะเวลาล้างออกแล้วก็จะกลับมาเป็นสาวหน้าจืดเหมือนเดิมและคงจะดีถ้า หากว่าวิธีเหล่านี้สามารถทำให้คิ้วของคุณดกดำขึ้นได้ และเรามาดูกันเลยค่ะว่าจะมีวิธีการทำกันอย่างไรบ้าง
  1.  ดอกอัญชัน วิธีนี้เราอาจจะคุ้นหูกันดีเพราะเป็นวิธีที่ทำกันมาตั้งรุ่นคุณยาย คุณแม่ของเรา วิธีการทำก็คือให้เรานั้นนำดอกอัญชันมาบดประมาณ 2-3 ดอก แล้วให้นำถ้วยมารองเอาไว้แล้วนำมาขยี้จนได้น้ำออกมาแต่ถ้าขยี้แล้วน้ำไม่ออก มาให้นำน้ำสะอาดหมักลงบนดอกอัญชันประมาณ 2-3 หยดแล้วขยี้ต่อ แล้วนำมาทาคิ้วก่อนนอนทุกคืนนะค่ะ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าจะได้ผลนะค่ะ แต่ว่าต้องใช้เวลานานระยะหนึ่ง
  2. นวดน้ำมันมะกอก ให้คุณนำน้ำมะกอกในปริมาณที่เล็กน้อยทาลงบนคิ้วของคุณ โดยให้นวดเป็นวงกลมช้าๆ เบาๆ เป็นประจำทุกวัน วันละ 5-10 นาที แค่นี้ก็จะทำให้คิ้วมากขึ้นและสีเข้มมากขึ้น
  3. นวดน้ำมันละหุ่ง ใช้ทาลงบนคิ้วคุณในปริมาณที่เล็กน้อย โดยให้นวดเป็นวงกลมช้าๆ เบาๆ เป็นประจำทุกวัน วันละ 5-10 นาที เช่นเดียวกับการนวดน้ำมันมะกอก จะช่วยให้ขนมากขึ้นและเห็นผลได้เร็วขึ้น
  4. รับประทานวิตามินเป็นประจำทุก ๆ วัน วิตามินนั้นนอกจากจะช่วยให้กระดูกของเราแข็งแรงแล้ว อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการเนรมิตให้เส้นขนดกดำขึ้น และรวมไปถึงขนคิ้วของคุณด้วยและควรเลือกวิตามินที่เหมาะสมกับเพศและวัยของ คุณด้วย
  5. ใช้คอนดิชั่นเนอร์สำหรับคิ้ว  และคุณสามารถหาซื้อได้ทางอินเทอร์เน็ตและตามร้านใกล้บ้านคุณ  คอนดิชั่นเนอร์จะมีลักษณะเหมือนกับมาสคาร่า และวิธีใช้ก็ง่ายๆ ให้ปัดเหมือนกับมาสคาร่าวันละ 1-2 ครั้ง แร่ธาตุและวิตามินต่างๆในผลิตภัณฑ์นั้นจะช่วยให้ขนคิ้วของคุณหนาขึ้นและดกดำ และยังทำให้คิ้วของคุณนุ่มอีกด้วยค่ะ

ท้องเสีย ท้องร่วง

ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเดิน โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล


ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเดิน ลงท้อง คือภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือเกิดความผิดปกติในการถ่ายอุจจาระ  ตาม ปกติแต่ละคนจะมีจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระในแต่ละวันไม่เท่ากัน บางคนอาจจะถ่ายวันละ 2 - 3 ครั้ง ในขณะที่บางคน 2 - 3 วันจึงจะถ่ายสักครั้ง ท้องเสียจะมีอาการถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำที่บ่อยขึ้น อาจจะมากกว่า 3 ครั้งใน 1 วัน อาการนำของการเกิดท้องเสียนั้นก็คือ ลำไส้จะมีการเคลื่อนไหวหรือบีบตัวอย่างมาก ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง ถ่ายง่าย และอ่อนเพลียเมื่อมีการถ่ายบ่อยครั้งขึ้น
อาการท้องเสีย แบ่งได้เป็น 2 ชนิด
1. ท้องเสียชนิดเฉียบพลัน
พบในคนส่วนใหญ่ เกิดขึ้นเร็ว แต่เป็นอยู่ไม่นาน มักไม่เกิน 7 - 8 วัน เกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น การติดเชื้อ เกิดจากพิษ เกิดจากยาอื่น ถ้าเป็นท้องเสียอย่างเฉียบพลันที่เกิดจากการติดเชื้อในผู้ใหญ่ มักมีสาเหตุมาจากแบคทีเรีย แต่ถ้าเป็นในเด็กมักจะเกิดจากเชื้อไวรัส
อาหาร ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีไขมัน หรือรสจัด อาหารที่มีกากหรือเมล็ดมาก ๆ ก็ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้เช่นกัน
2. อาการท้องเสียชนิดเรื้อรัง
เกิดจากหลายสาเหตุ และยากต่อการวินิจฉัย ถ้าเป็นบ่อย ๆ และเป็นเวลานานควรไปพบแพทย์ เพื่อให้ทราบสาเหตุที่แท้จริงและรักษาต่อไป
ท้อง เสียอาจมีสาเหตุมาจากทางอารมณ์ ซึ่งมักมีอาการปวดท้องถ่ายบ่อย ๆ แต่ถ่ายครั้งละไม่มาก อุจจาระอาจจะเหลวเป็นน้ำแล้วตามมาด้วยลักษณะปกติ มักเกิดหลังรับประทานอาหารไม่นาน ประมาณ 5 - 15 นาที และบางครั้งก็อาจเปลี่ยนเป็นอาการท้องผูกได้
วิธีป้องกันตนเองไม่ให้ท้องเสีย
ควร หลีกเลี่ยงสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย เช่น อาหารที่ไม่สะอาด อาหารที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน อาหารรสจัด ยาบางชนิดที่เคยรับประทานแล้วทำให้ท้องเสีย ตลอดจนพยายามควบคุมอารมณ์ ไม่ให้เกิดความตึงเครียดหรือวิตกกังวลมากเกินไป
การรักษาโดยไม่ใช้ยา
ท้อง เสียเฉียบพลัน บางครั้งก็หายไปเองในระยะเวลาอันสั้น เช่น รับประทานอาหารผิดสำแดง วิตกกังวล หรือติดเชื้อในลำไส้ที่ไม่รุนแรง อาการท้องเสียเหล่านี้มักจะหายไปเองในระยะเวลาอันสั้น บางทีก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษาเลยด้วยซ้ำ
เนื่อง จากขณะที่มีอาการท้องเสีย ลำไส้จะดูดซึมน้ำและอาหารน้อยลง และลำไส้มีการเคลื่อนไหวเร็ว จึงเกิดการคั่งของน้ำในลำไส้ ทำให้ปริมาณน้ำในลำไส้มาก จึงถ่ายเหลวบ่อยและมีจำนวนมากขึ้น ดังนั้น การลดปริมาณน้ำในลำไส้ให้น้อยลงมากเท่าใด คือวิธีการรักษาที่ดีเท่านั้น
การ งดอาหารในขณะท้องเสียก็เป็นวิธีการรักษาวิธีหนึ่ง ซึ่งไม่มีผลเสียใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าร่างกายแข็งแรงดี เพราะจะช่วยให้ลำไส้ได้พักผ่อน และช่วยให้การทำงานเป็นปกติดียิ่งขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากรับประทานอาหารเข้าไปมาก อาหารเหล่านั้นก็ถูกดูดซึมเข้าร่างกายได้น้อยหรือไม่ดูดซึมเลย ทำให้ ยิ่งรับประทานมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายมากยิ่งขึ้นเท่านั้น และจะไม่ได้ประโยชน์จากอาหารที่รับประทานเข้าไปเลย
สิ่ง สำคัญในการรักษาอาการท้องเสียก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ที่จะไม่ให้ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่ เพราะว่าถ้าเสียน้ำและเกลือแร่มาก ๆ จะทำให้ร่างกายมีอาการขาดน้ำ เช่น ตาโบ๋ หนังเหี่ยว ขาดความยืดหยุ่น ไม่เต่งตึง ปากแห้ง ชีพจรเต้นเร็ว ปัสสาวะน้อย ลุกนั่งจะรู้สึกหน้ามืด ถ้าเป็นเด็กเล็กกระหม่อมจะบุ๋มและนอนซึม หรือหายใจหอบ เพราะเสียเกลือแร่ ขาดน้ำ ถ้าเป็นมากก็อาจไม่มีปัสสาวะเลย ชีพจรเบา ความดันต่ำ ตัวเย็น กระสับกระส่าย ช็อค
จะ เห็นได้ว่า อันตรายไม่ได้เกิดจากการขาดสารอาหาร แต่เกิดจากการขาดน้ำและเกลือแร่ ดังนั้น ถ้าให้น้ำเกลือทดแทนได้ท้นก็จะรอดพ้นจากอันตรายได้
น้ำเกลือก็คือ "ยา" รักษาอาการท้องเสียนั่นเอง
การ ให้น้ำเกลือด้วยตนเองทำได้โดยวิธีการรับประทาน ซึ่งจะได้ผลในการรักษาใกล้เคียงกับการให้ทางหลอดเลือด และไม่มีอันตรายจากภาวะที่มีการให้น้ำมากเกินไป
การดื่มน้ำเกลือในระยะแรก ๆ ที่มีอาการท้องเสีย จะทำให้อาการทุเลาและหายไปได้เองโดยไม่ต้องใช้ยารักษา
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
ไม่ควรใช้ยาแก้ท้องเสียรักษาตัวเอง แต่ควรไปพบแพทย์ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้
* อุจจาระมีมูกปน มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ คล้ายกุ้งเน่า
* คลื่นไส้ - อาเจียนรุนแรง
* มีไข้สูงเกินกว่า 38.5 องศาเซลเซียส
* ท้องเสียนานกว่า 48 ชั่วโมง
* มีไข้ อ่อนเพลียมาก และมีโรคเรื้อรังประจำตัว
* ท้องเสียเรื้อรัง รวมกับเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผอมลง อ่อนเพลีย
* ท้องเสียซึ่งอาจมีสาเหตุจากยาอื่น ๆ ที่ใช้อยู่เป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ผู้สั่งใช้ยานั้น ๆ จะได้แก้ไขและเปลี่ยนยา
* ท้องเสียในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี หรือผู้สูงอายุ เพราะอาจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ง่าย
* ท้องเสียที่เกิดในสตรีมีครรภ์ เพราะอาจเกิดความผิดปกติทั้งมารดาและทารกในครรภ์ได้
แหล่งข้อมูล
ภญ. วิไล ตระกูลโอสถ ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ ม.ศิลปากร, ท้องเสีย
ฝ่ายเภสัชกรรม รพ.สมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์, ท้องเสีย